การใช้งานครีมกันแดดเป็นเน้นย้ำในจุดที่สำคัญบนผิวหนังของเราให้มีประสิทธิภาพในการกันแดดมากยิ่งขึ้น แต่หากว่าเราไปเดินดูตามท้องตลาดในปัจจุบันเราจะเห้นได้ว่า ทั้ง ครีมกันแดด และ โลชั่นกันแดด หลายๆผลิจภัณฑ์จะผสมสารที่ช่วยในการบำรุงผิวได้ลงไปด้วย แต่อย่างไรก็ตามแล้ว สารที่ผสมเข้าไปสำหรับการบำรุงผิวนั้นไม่สามารถที่จะซึมลงไปถึงใต้ชั้นผิวได้ เนื่องจากมีขนาดที่ใหญ่กว่ารูขมขนของเรา แต่อย่างไรก็ตามครีมกันแดดสามารถที่จะช่วยปกป้องผิวไม่ให้ได้รับผลกระทบจากแสงแดดได้ ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของ ริ้วรอย ฝ้า กระ หรือ จุดด่างดำ บนใบหน้าของเรา ซึ่งวันนี้เราจะมาเรียนรู้วิธีการเลือกครีมกันแดดที่ถูกต้องและเหมาะสมกับผิวของเราไปพร้อมๆกัน
ความแตกต่างระหว่างค่า SPF และค่า PA คืออะไร
ค่า SPF คือประสิทธิภาพในการป้องกันรังสียูวีบี
โดยทั่วไปแล้วผิวของคนเราสามารถที่จะทนต่อรังสียูวีบีชนิดนี้ได้เป็นระยะเวลาประมาณ 10 นาที ก่อนที่จะมีอาการไหม้บนผิวหนังเกิดขึ้นมา หรือที่เราเรียกกันว่า “ไหม้แดด” ซึ่งค่า SPF ตัวนี้ก็คือค่าที่บ่งบอกว่า ครีมกันแดดที่เราใช้สามารถปกป้องผิวของได้มากขึ้นแค่ไหน อย่างเช่น หากเราทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF 2 ก็จะช่วยทำให้ผิวของเราที่ทาครีมกันแดดลงไปนั้นสามารถปกป้องผิวจากการไหม้ได้ถึง 2 เท่า (ซึ่งก็คือ 20 นาทีนั่นเอง) ดังนั้นถ้าค่า SPF ยิ่งขึ้น ก็จะช่วยทำให้ครีมกันแดดเหล่านี้มีประสิทธิภาพในการปกป้องผิวยาวนานยิ่งขึ้น
ในปัจจุบันค่ามาตราฐานของ SPF จะอยู่ที่ 20 แต่สำหรับผู้ที่มีผิวไวต่อแสงแดด หรือจำเป็นตากแดดเป็นเวลานานก็สามารถที่จะเลือกใช้ SPF 30 ได้เช่นกัน
ค่า PA คือประสิทธิภาพในการป้องกันรังสียูวีเอ
ค่า PA คือค่าที่แสดงประสิทธิภาพของครีมกันแดดว่า สามารถที่จะป้องกันรังสียูวีเอของผิวชั้นหนังแท้ได้มากน้อยขนาดไหน ซึ่งรังสียูวีเอที่เข้าสู่ชั้นผิวหนังแท้นั้นเป็นสามารถที่จะทำผิวของเราเวลาที่ถูกแสงแดดแล้วมีสีผิวที่เข้มขึ้น โดยค่า PA จะถูกระบุมาเป็นเครื่องหมาย “+” ที่เราจะพบได้เวลาที่เลือกซื้อครีมกันแดด ซึ่งถ้าเป็น “+” จะสามารถป้องกันได้ 2-4 เท่า แต่หากว่าเป็น “++” จะสามารถป้องกันได้ 4-8 เท่า หรือถ้าเป็น “+++” จะสามารถป้องกันได้ถึง 8 เท่า
สำหรับการใช้ชีวิตประจำวันของคนทั่วไป ค่า PA++ ก็เพียงพอแล้วสำหรับการปกป้องผิวของเรา แต่หากว่าเรามีกิจกรรมที่ต้องออกแดดเป็นเวลานานก็ควรที่จะเลือกใช้ครีมกันแดดที่มีค่า PA+++ แทน
นอกจากค่า SPF กับ PA ที่ตรวจพิจารณาก่อนเลือกซื้อผลิตภัณฑ์กันแดดไม่ว่าจะเป็นทั้ง ครีมกันแดด และ โลชั่นกันแดด เรายังต้องคำนึงถึงกิจกรรมที่เราจะทำกลางแดดด้วยเช่นกัน ถ้าหากเราจะต้องออกไปเล่นน้ำทะเลหรือทำกิจกรรมทางน้ำอื่นๆ เราก็ควรเลือกสารกันแดดที่สามารถกันน้ำได้ (Waterproof) ซึ่งจะจะรักษาค่า SPF ไว้ให้คงประสิทธิภาพเดิมหลังจากที่ผิวบริเวณนั้นสัมผัสกับน้ำได้ถึง 80 นาที หรือถ้าเราแค่โดนฝนหรือกำกิจกรรมที่มีเหงื่อออกเล็กน้อยเท่านั้น ก็สามารถเลือกครีมกันแดดแบบ Water-resistant ที่จะช่วยรักษาค่า SPF ไว้ให้คงประสิทธิภาพอยู่บนผิวหลังจากที่สัมผัสกับน้ำได้ 40 นาที ซึ่งก็เป็นเหตุผลที่ว่า ผลิตภัณฑ์กันแดดที่เราใช้มักจะมีข้อความว่า ควรทำครีมกันแดด ทุกๆ 2 ชั่วโมง นั่นเอง
ข้อควรระวังเพิ่มเติมสำหรับผู้ที่ต้องหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับแสงแดดโดยตรง
สำหรับผู้ที่ทำเลเซอร์ ฟีลเลอร์ โบท็อกซ์ หรือ การทำ IPL ที่คลินิก นั้นจะต้องระมัดระวังในเรื่องของ การพักผิว การออกแดด รวมถึงการเลือกใช้ ผลิตภัณฑ์บำรุงผิว และ ครีมกันแดด บางตัวที่มีส่วนผสมที่ควรหลีกเลี่ยงผสมอยู่ ซึ่งทางที่ดีเราควรจะปรึกษาและขอคำแนะนำจากแพทย์ที่ดูแลก่อนหากว่าไม่สามารถที่จะหลีกเลี่ยงการออกแดดได้
ซึ่งในเวลานี้เรานวัตกรรมความงามที่ทันสมัย ซึ่งสามารถที่จะฟื้นฟู ดูแล และ ปกป้องผิว ไปได้พร้อมๆกัน ด้วยการเลือกใช้เครื่อง IPL Home use ที่มีแสง Xtensive เอกสิทธิ์เฉพาะของทาง PiOne ที่สามารถช่วยทำให้การดูแลผิวสวยสามารถทำได้เองที่บ้าน ปลอดภัย ไม่ทำร้ายผิว สามารถใช้ได้แม้ผิวแพ้ง่าย จึงไม่ต้องกังวลเรื่องการพักผิวหลังทำ ทำให้เราสามารถที่จะดูแลผิวของเราได้ตลอดเวลา และยังครอบคลุมปัญหาผิวต่างๆทั้ง 8 ประการในครั้งเดียว ด้วยการทำ IPL ด้วยตัวเองที่มีประสิทธิภาพและค่าพลังงานเทียบเท่ากับคลินิก แต่แตกต่างกันในส่วนของความต่อเนื่อง จึงทำให้สามารถทำได้บ่อยกว่า โบกมือลาเรื่องการพักผิวไปได้เลย เพราะความสวยของผู้หญิงเป็นสิ่งที่ต้องดูแลทุกวัน