สิวเป็นปัญหาผิวที่เราพบเจอได้มากที่สุดของวัยรุ่นหรือแม้กระทั่งวัยทำงาน ซึ่งสาเหตุของการเกิดสิวนั้นสามารถเกิดขึ้นได้จากหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นฮอร์โมน สิ่งแวดล้อม ความเครียด อาหารที่รับประทาน การรักษาความความสะอาดเป็นต้น และการเกิดสิวนั้นก็สร้างความกังวลให้กับผู้ที่เป็นได้ตั้งแต่ระยะเริ่มต้นไม่ว่าจะเป็น ตุ่มสิวหัวขาว สิวหัวดำ ตุ่มแดง ตุ่มหนอง และตุ่มแข็งเป็นไต แต่สิ่งที่น่ากลัวและสร้างความกังวลมากกว่าการเป็นสิวก็คือ การทิ้งร่องรอยแผลเป็นหลังจากการเป็นสิวนั่นเอง
สิว (Acne Vulgaris) สามารถแบ่งออกกว้างๆได้เป็น 2 ประเภทคือ สิวประเภทไม่อักเสบ (Non- inflammatory ance) และ สิวอักเสบ (Inflammatory Acne) โดยสิวประเภทไม่อักเสบเกิดจากของการอุดตันบริเวณรูเปิดของต่อมไขมัน เช่น สิวเสี้ยน สิวผดผื่น สิวอุดตันสีขาว (Whitehead) หรือ สีดำ (Blackhead) และเมื่อการอุดตันที่เกิดขึ้นไม่ได้รับการรักษาหรือปฏิบัติให้ถูกวิธี สิวเหล่านี้จะเกิดภาวะการอักเสบและการติดเชื้อแบคทีเรียตามมา
โดยแบคทีเรียนั้นมีชื่อว่า P. Acne (Propionibacterium acnes) เป็นแบคทีเรียที่เจริญเติบโตได้ดีในบริเวณที่ไม่มีอากาศ และชอบอาหารประเภทไขมัน จะทำปฏิกิริยากับคอมิโดนหรือสารที่อุดตันรูขุมขน จนสิวนั้นเปลี่ยนมาเป็นตุ่มแดงนูน หรือที่เราเรียกกันว่าสิวอักเสบนั่นเอง และสิวอักเสบที่เป็นตุ่มแดงและตุ่มหนองนั้นถ้ามีการลุกลามมากขึ้น ซึ่งสาเหตุส่วนใหญ่จะเกิดจากดูและรักษาที่ผิดวิธี ก็จะทำให้สิวอักเสบเหล่านั้นกลายเป็นไตแข็งบวมขนาดใหญ่ เวลากดจะรู้สึกเจ็บมาก หรือเรียกอีกอย่างว่า ซีสต์ (Cysts) หรือ สิวหัวช้าง (Nodular Acne) ซึ่งต้องได้รับการดูแลรักษาอย่างเร่งด่วน
สิวแต่ละประเภทมีวิธีการรักษาที่มีความแตกต่างกันออกไป ดังนั้นเราจึงควรที่จะทราบถึงประเภทของสิวก่อนที่จะเริ่มต้นในการรักษาสิว จึงจะทำให้เราได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
รอยดำและรอยแดงจากสิวเกิดได้จากสาเหตุอะไรบ้าง?
จากข้างต้นที่กล่าวมา รอยแดงที่เกิดขึ้นในขณะที่เป็นสิว เกิดจากการขยายตัวของหลอดเลือดบริเวณที่เกิดการอักเสบ ถ้าหากระหว่างที่เป็นสิวอักเสบอยู่นั้นไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกวิธี อาจทำให้ผิวหนังบริเวณดังกล่าวกลายเป็นรอยแดงอยู่เป็นระยะเวลานาน ซึ่งอาจทำให้เกิดเป็นรอยแดงที่ถาวรได้ ส่งผลให้เกิดปัญหาผิวตามมาอีกหลายอย่างไม่ว่าจะเป็นรอยดำหรือแม้แต่หลุมสิว ที่ต้องใช้เวลาในการรักษาค่อนข้างข้างยาวนานกว่าที่จะกลับมาเป็นปกติ โดยรอยดำหรือรอยคล้ำจากสิวนั้น เริ่มต้นจากการที่เนื้อเยื่อบริเวณที่เป็นสิวเกิดการทำลายเนื่องมาจากภาวะสิวอักเสบ หลังจากนั้นเนื้อเยื่อที่ถูกทำลายจากบริเวณดังกล่าวจะมีการสร้างเซลล์เม็ดสี (Melanocyte) และเซลล์เม็ดสีนี้เองจะถูกกระตุ้นให้เกิดการแบ่งตัวเพิ่มจำนวนขึ้นหรือถูกกระตุ้นให้ผลิตเม็ดสีมากขึ้น และเมื่อเม็ดสีถูกผลิตมากขึ้นรอยดำรอยหมองคล้ำก็จะเห็นชัดเจนเด่นชัดบนผิวหนังบริเวณนั้น และถ้าสิวที่เกิดมีการอักเสบค่อนข้างลึก หรือเกิดจากรอยแดงเป็นเวลานาน ก็จะทำให้รอยดำที่เกิดตามมาภายหลังคงอยู่นานขึ้น
โดยความเข้มของรอยดำนั้นจะแปลผันตรงกับปริมาณ เมลานิน (Melanin) ของสีผิวอีกด้วย ดังนั้นในคนผิวเข้มซึ่งมีปริมาณเมลานินมากกว่า ก็อาจมีรอยแผลที่ดำคล้ำกว่าได้ ซึ่งตามปกติแล้วรอยดำนี้จะสามารถจางหายไปเองตามธรรมชาติ แต่อาจใช้เวลาค่อนข้างนานตั้งแต่ 1 – 3 เดือน จนถึงเป็นปี นอกจากนี้ตำแหน่งที่สิวที่มีการอักเสบรุนแรงจนทำให้เซลล์เนื้อเยื่อของผิวบริเวณนั้นถูกทำลายลึกลงไป จนทำให้เนื้อเยื่อคอลลาเจน (Collagen) ในชั้นหนังแท้ถูกทำลายตามไปด้วย ก่อให้เกิดรอยบุ๋มหรือหลุมลึก ผิวบริเวณนั้นก็มักจะกลายเป็นแผลหลุมตามมา ซึ่งแผลเป็นชนิดนี้ยากที่หายได้เองด้วยกระบวนการตามธรรมชาติ
วิธีการรักษารอยดำและรอยแดงจากสิว ทำได้อย่างไรบ้าง?
สำหรับขั้นตอนการรักษารอยแดงและรอยดำจากสิวนั้น ส่วนมากใช้เวลาหลายเดือนจนถึงปี จึงควรต้องปฏิบัติตัวตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัดและใจเย็น หลีกเลี่ยงการบีบ เค้น และแกะสิว เพราะจะไปกระตุ้นให้เกิดการอักเสบที่รุนแรงมากขึ้น ทำให้รอยแดงหรือรอยดำที่เป็นอยู่มีสีเข้มขึ้นหรือเป็นอยู่ในระยะเวลาที่ยาวนานขึ้น รอยแดงในขณะที่เป็นสิวอยู่ ควรรักษาโดยใช้ยาทาหรือเวชภัณฑ์ที่ออกฤทธิ์ลดการอักเสบของสิว แต่ถ้าการอักเสบนั้นลุกลามเพิ่มเติมจนบวมแดง มีขนาดใหญ่ขึ้นมาก กดแล้วเจ็บ ควรรักษาด้วยการรับประทานยา ทายา ร่วมกับการฉีดยาสตีรอยด์เข้าเฉพาะจุด ซึ่งตัวยานั้นขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางเป็นกรณีไป
ในส่วนของรอยแดงรอยแผลเป็นที่เกิดขึ้นเมื่อสิวหายไปแล้ว มักไม่ค่อยได้ผลด้วยการรักษาด้วยการทายา ดังนั้นเลเซอร์ (Laser Treatment) จึงเข้ามามีบทบาทในการรักษา ในส่วนแผลเป็นที่เป็นรอยดำนั้นมักใช้ยาทาที่ออกฤทธิ์ยับยั้งการทำงานของเซลล์สร้างเม็ดสี เช่น กรดผลไม้อย่าง AHA (Alpha Hydroxy Acid), BHA (Beta Hydroxy Acid), PHA (Polyhydroxy Acid) ที่ออกฤทธิ์ในการเร่งการผลัดตัวของเซลล์ผิว ยาที่มีส่วนประกอบของสารไฮโดรควิโนน อาบูติน หรือกรดโคจิก เหล่านี้อาจช่วยให้รอยดำจางลงเร็วขึ้น นอกจากนี้การแต้มกรด TCA (Trichloroacetic Acid), การใช้กรดวิตามินหรือยาในกลุ่มอนุพันธ์ของวิตามินเอ อย่าง Retin A เพื่อช่วยกระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจน และการลอกผิวด้วยกรดผลไม้ จะมีส่วนช่วยทำให้ผลัดเซลล์ผิวหนังให้กระจ่างใสลดเลือนจุดด่างดำและช่วยทำให้หลุมสิวและรอยแผลเป็นจากสิวดูดีขึ้นได้
การบีบหรือกดสิว เป็นสาเหตุหลักๆที่ทำให้เกิดรอยแดง รอยดำ และรอยแผลเป็นจากสิวบนใบหน้าของเราได้ง่าย
นอกเหนือไปจากนั้น การทำทรีทเมนท์ เช่น การผลักยาเข้าสู่ผิวด้วยกระแสไฟฟ้า (Iontophoresis) หรือแม้แต่การกรอผิวหน้าด้วยเกร็ดอัญมณี ก็สามารถช่วยให้รอยดำจางลงและหลุมสิวตื้นขึ้นได้ ซึ่งวิธีการรักษาต่างๆนั้นก็ขึ้นอยู่กับประสิทธิภาพของเครื่องมือและความชำนาญของแพทย์ร่วมกัน รังสีอุลตร้าไวโอเลตในแสงแดดก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เมลานิน (Melanin) มีการสร้างเม็ดสีมากขึ้น มีผลทำให้รอยดำหายได้ช้า ดังนั้นจึงควรหลีกเลี่ยงแสงแดด และทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF ไม่ต่ำกว่า 15 ที่ป้องกันรังสีได้ทั้ง UVA และ UVB และในส่วนของผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในการบำรุงและรักษาผิวที่เป็นสิวนั้นควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยน ไม่มีสารที่ก่อให้เกิดการแพ้และการระคายเคือง และเป็นผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีสารที่อุดตันรูขุมขน เพื่อป้องกันรูขุมขนอุดตันซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดสิวได้
การทำ IPL ทางเลือกสำหรับการรักษาสิวที่มีประสิทธิภาพ
นอกจากนั้นการทำ IPL ก็สามารถที่จะช่วยในการรักษาสิวอักเสบได้อย่างรวดเร็ว รวมถึงยังช่วยทำให้ผิวมีสุขภาพดีควบคู่อีกด้วย เพราะวิธีป้องกันสิวที่ดีที่สุดก็คือ การดูแลรักษาผิวของเราให้มีสุขภาพที่ดีอยู่อย่างเสมอ รวมถึงแสง IPL ที่มี Xtensive Flash ยังสามารถที่จะช่วยในการรักษาปัญหาผิวต่างๆได้อย่างครอบคลุม ไม่ว่าจะเป็น สิว, รอยสิว, ริ้วรอย, จุดด่างดำ, ฝ้า, กระ และ ยังสามารถที่จะช่วยกระตุ้นในกรสร้างคอลลาเจนให้กับชั้นผิวของเราได้อีกด้วย โดยเครื่อง IPL ของทาง PiOne ยังมีค่าพลังงานที่เพียงพอที่จะช่วยในการดูแลสุขภาพผิวที่เทียบเท่ากับคลินิก ทำให้สามารถใช้งานได้เองที่บ้าน และด้วยตัวเครื่อง IPL ที่กระทัดรัดทำให้สามารถที่จะพกพาไปไหนมาได้อย่างสะดวก ทระบบการใช้งานที่ง่ายและมีความปลอดภัย จึงทำให้การทำ IPL นั้นสามารถที่จะทำได้เองที่บ้านได้ง่ายๆ เพราะความสวยของคือการมีสุขภาพผิวที่ดี กระชับ เรียบเนียน และกระจ่างใส่นั่นเอง
การทำ IPL สามารถที่ช่วยในการรักษาสิวอักเสบไปำร้อมกับการดูแลผิวให้มีสุขภาพดี สวย เรียบเนียน ไปได้พร้อมๆกัน และไม่ทำให้ผิวของเราต้องบอบช้ำจากการถูกทำร้าย
ดังนั้นหัวใจหลักของการแก้ปัญหารอยแผลเป็นที่เกิดจากสิวก็คือ การลดหรือป้องกันไม่ให้เกิดการอักเสบของสิว โดยการดูแลและรักษาอย่างถูกวิธีตั้งแต่เริ่มเป็นสิว ซึ่งจะสามารถลดโอกาสเสี่ยงของการเกิดร่องรอยซึ่งเป็นผลพวงจากสิวได้