วิธีการดูแลความชุ่มชื้นให้กับผิวสำหรับคนผิวแห้ง

ประเทศไทยมีภูมิประเทศตั้งที่ใกล้เส้นศูนย์สูตร ส่งผลให้เราทุกคนเผชิญกับแสงแดดที่ร้อนจัด และอบอ้าว สลับกับมีมรสุมทำให้มีฝนตกหนักบ้างเป็นครั้งคราว ดังนั้นปัญหาสุขภาพผิวของคนส่วนใหญ่ที่เกิดขึ้นคือ ผิวหน้ามัน และรูขุมขนกว้างเพื่อระบายความร้อน อย่างไรก็ตาม ด้วยสภาวะอากาศที่ร้อนอบอ้าวเช่นนี้กลับเป็นส่วนสำคัญในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของเราให้อยู่แต่ในห้องที่มีเครื่องปรับอากาศเกือบทั้งวันไม่ว่าจะเป็นที่ทำงานหรือที่บ้านก็ตาม
ดังนั้นเราจึงพบกลุ่มคนที่มีปัญหาผิวแห้งขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง อาการผิวแห้งสามารถสังเกตได้ดังนี้ ผู้ที่มีผิวแห้งจะมีรูขุมขนที่แคบ ผิวลอกเป็นขุย เมื่อได้สัมผัสจะพบว่ามีความแห้งกร้าน ไม่ยืดหยุ่น สามารถเห็นรอบพับของผิวหนังชัดเจน ผิวหนังบริเวณที่คันมีสีแดง ลักษณะดังกล่าวคืออาการของ “ผิวหนังอักเสบ (Asteato tic eczema)” โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้สูงอายุ อาจมีอาการคันผิวตาม หน้า มือ และขา จนติดเชื้อแบคทีเรีย หรือเชื้อราจากการเกาได้ และอาจมีอาการผิวแตกและมีหนองตามมา และอาจพบโรคสะเก็ดเงิน (Psoriasis) ในบางรายเช่นกัน

อาการของผิวแห้งเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดริ้วรอยบนชั้นผิวได้ง่าย ดังนั้นเราจึงควรดูแลความชุ่มชื้นให้กับผิวของเราให้ดี

ปัจจัยเสี่ยงต่างๆที่อาจทำให้เกิดอาการผิวแห้งและวิธีการรับมือ

ปัจจัยแรกคือ อายุ ด้วยตัวเลขของวัยที่เพิ่มมากขึ้น ต่อมไขมันใต้ผิวหนังของเรา (Fatty acid, Ceramindes, Cholesterol) ที่ทำหน้าที่ประสานกับผิวหนังชั้นนอกเริ่มทำงานช้าลง น้ำในเซลล์ผิวลดลง ส่งผลให้ชั้นผิวบางลงอีกด้วย จึงเป็นสาเหตุให้ผิวมีอาการแห้งหรือแตกได้ง่าย อย่างไรก็ตาม วิธีการบรรเทาปัญหาผิวแห้งของผู้สูงวัยควรเริ่มที่การรับประทานอาหารจะเห็นผลดีกว่าการบำรุงผิวหน้าด้วยครีม หรือ มอยเจอร์ไรเซอร์ (Moisturizer) เนื่องจากเซลล์ผิวของผู้สูงอายุมีความถดถอยลงอย่างต่อเนื่อง การรับประทานอาหารที่มีกรดไขมันที่จำเป็น และเลือกรับประทานอาหารที่มี ไลโนเลอิค แอซิด (Linoleic acid) หรือน้ำมันจากดอกอีฟนิ่ง พริมโรส (Evening Primrose Oil) ก็สามารถช่วยให้ผิวชุ่มชื้น ทั้งยังป้องกันอาการอักเสบของผิวได้อีกด้วย
ปัจจัยต่อมาคือ ยา และโรคบางชนิด ตัวยาบางชนิดที่ใช้สำหรับรักษาโรคอาจส่งผลข้างเคียงต่อผิวหนังได้เช่นกัน อาทิ ยาขับปัสสาวะ ที่มีฤทธิ์ในการขับน้ำและเกลือแร่ออกจากร่างกาย หรือยารักษาสิว โดยผลข้างเคียงของยานี้อาจทำให้เกิดอาการคัน และร่างกายสูญเสียน้ำตามมา เช่นเดียวกับโรคบางชนิด เช่น โรคเบาหวาน (Diabetes), โรคเรื้อนกวาง (Psoriasis), โรคต่อมไทรอยด์ทำงานน้อย (Thyroidism) ปัจจัยเหล่านี้ทำให้ผิวหนังไม่สามารถเก็บน้ำไว้ในเซลล์ผิวได้นาน ผิวขาดความชุ่มชื้น อาการคันจึงตามมา กรณีดังกล่าวควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับคำแนะนำที่ถูกต้องจึงจะดีที่สุด

โรคบางชนิดก็เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการผิวแห้งได้เช่นกัน ดังนั้นหากเราไม่มั่นใจหรือมีข้อสงสัยต่างๆจึงควรที่จะปรึกษาแพทย์ผิวหนังที่เชี่ยวชาญจึงเป็นวิธีที่ดีที่สุด

ปัจจัยสุดท้ายคือ สภาวะแวดล้อม และกิจวัตรประจำวัน ด้วยสภาวะปัจจุบันที่ต้องพบเจอกับควันรถยนต์ ควันบุหรี่ การอยู่ในห้องแอร์นานจนเกินไป การดื่มน้ำน้อย หรือแม้กระทั่งการอาบน้ำอุ่น ปัจจัยเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งกระตุ้นให้เกิดผิวแห้งได้ทั้งสิ้น นอกจากนี้ผลที่ตามมาคือริ้วรอยก่อนวัย ดังนั้นเราจึงควรปรับพฤติกรรมของเราโดยการ อาบน้ำที่อุณหภูมิปกติ หรืออุ่นได้ไม่เกิน 32 องศาเซลเซียส ลดการฟอกสบู่ หลีกเลี่ยงการใช้สารเคมีสัมผัสกับผิว หลีกเลี่ยงการใช้สบู่ที่มีฤทธิ์เป็นด่างแก่ๆหรือสบู่ฆ่าเชื้อ และหากต้องอยู่ในห้องแอร์ทั้งวันควรจิบน้ำบ่อยๆ เพื่อเติมน้ำให้เซลล์ผิว หรือติดตั้งเครื่องเพิ่มความชื้นในอากาศ สำหรับคุณผู้หญิงที่ชื่นชอบการทาครีม สามารถพกพาครีมที่มีส่วนผสมของสารต่างๆมากมายอาทิ

ครีมที่มีส่วนผสมของสารที่ช่วยคงความชุ่มชื้นให้กับผิว

– วาสลีน (Vaselin), ลาโนลิน (Lanolin) หรือปิโตรเลียม (Petroleum) ที่สามารถช่วยป้องกันการระเหยของน้ำ โดยจะเคลือบผิวหนังเพื่อรักษาความชุ่มชื้นใต้ผิวหนังไม่ใช้ระเหยออกมา
– ครีมที่มีส่วนผสมของ AHA, มิเนอรัลออยล์ (Mineral Oil), โจโจ้บาออยล์ (Jojoba Oil) สารต่างๆเหล่านี้จะช่วยลดความตึงตัวของผิวหนัง ช่วยให้การผลัดเซลล์ของผิวหนังเป็นไปอย่างอ่อนโยนทำให้ผิวหนังอ่อนนุ่ม
– สารกลีเซอลีน (Glycerine) และ ซอร์บิทอล (Sorbitol) จะช่วยดึงน้ำจากอากาศมาไว้ที่ผิวหนัง ทำให้ผิวหนังชุ่มชื้น ป้องกันการเกิดริ้วรอยได้

นอกจากใช้สารเคมีต่างๆแล้วการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ก็สามารถที่จะช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวของเราได้เช่นกัน

สิ่งสำคัญที่สุดของการดูแลผิวที่แห้งตึงคือ การทานอาหารควบคู่กับการดูแลผิวจากภายนอกไปพร้อมๆกัน เราควรเลือกรับประทานอาหารที่มีไขมัน โปรตีน และกากใยเพียงพอ อาทิ ปลา หรือ เนื้อ ที่มีไขมันติดอยู่ ผักและผลไม้ที่มีวิตามิน C และ E สูง ควบคู่กับการบำรุงผิวให้ถูกวิธีตามที่ได้กล่าวไปข้างต้น รวมทั้งลดความวิตกกังวลลง เท่านี้ก็จะสามารถลดการเกิดริ้วรอยได้ อย่างไรก็ตามหากผู้ที่มีปัญหาผิวแห้งบนใบหน้าและกลัวการแพ้ในเรื่องของครีมที่มีส่วนผสมของสารเคมี ก็สามารถใช้ส่วนผสมของธรรมชาติมาเป็นตัวช่วยอาทิ การพอกหน้าด้วย โยเกิร์ต น้ำผึ้ง อะโวคาโด ว่านหางจระเข้ หรือแตงกวา สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นการเติมน้ำให้ผิว ช่วยฟื้นฟูผิวเสียง่าย และยังลดอาการอักเสบของผิวได้อีกด้วย ทั้งนี้ส่วนผสมจากธรรมชาติเหล่านี้ยังสามารถใช้บ่อยจึงทำให้เราสามารถดูแลความชุ่มชื้นให้กับผิวของเราได้ตลอดเวลา

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *