เซราไมด์สารเพื่อความชุ่มชื้นให้กับผิว

เซราไมด์ (Ceramide) คือสารจำพวกไขมัน ที่มีชื่อว่า สฟิงโกไลปิด (Sphingolipid) ซึ่งเป็นองค์ประกอบที่สำคัญของเยื่อหุ้มเซลล์ (Cell Membrane) มีหน้าที่ในการปกป้องเซลล์จากสิ่งแปลกปลอมภายนอก และยังมีบทบาทสำคัญที่ช่วยให้ผิวหนังสามารถทำหน้าที่อุ้มน้ำ และรักษาระดับการซึมผ่านของน้ำในผิวหนัง โดยเซราไมด์จะพบได้ที่ชั้นหนังกำพร้าชั้นนอก (Stratum Corneum) ซึ่งเป็นบริเวณผิวชั้นบนสุดของหนังกำพร้า (Epidermis) โดยจะอยู่ติดกับเคราติน (Keratin) ของผิว หน้าที่ของเซราไมด์คือ จะเป็นตัวเชื่อมเคราตินให้เกิดการเรียงตัวกันอย่างเป็นระเบียบ ช่วยให้ผิวแข็งแรง และ ลดการสูญเสียน้ำของผิว

เซราไมด์สามารถที่จะช่วยปกป้องผิวให้แข็งแรง ลดการสูญเสียน้ำของผิว ทำให้ผิวมีความชุ่มชื้นและกระจ่างใสได้

ผิวของคนเราโดยปกติแล้ว จะทำหน้าที่ปกป้องอวัยวะภายในไม่ให้ได้รับอันตราย จึงต้องมีความหนาและความยืดหยุ่นสูง นอกจากนี้ผิวยังมีหน้าที่ในการขับของเสียออกจากร่างกาย เช่น เหงื่อ รวมถึงช่วยระบายความร้อนอีกด้วย และถ้าหากถามว่าผิวบริเวณไหนที่คนเราให้ความสนใจหรือให้ความสำคัญมากเป็นอันดับหนึ่ง คำตอบนั้นก็คงจะเป็น “ผิวหน้า” นั่นเอง สาเหตุก็คือ หากเกิดปัญหาขึ้นบนผิวหน้า จะส่งผลให้ขาดความมั่นใจ รวมถึงบุคลิกภาพที่ไม่ดีได้ ดังนั้น หากเราดูแลผิวหน้าให้ดูดีอยู่เสมอ ก็จะช่วยเสริมสร้างความมั่นใจให้กลับคืนมาได้เช่นกันค่ะ การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ประเภทครีมหรือเซรั่มที่มีส่วนผสมของสารบำรุงที่เป็นประโยชน์ ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่จะช่วยให้ผิวหน้ามีสุขภาพที่ดีขึ้น โดยผลิตภัณฑ์เหล่านี้สามารถเข้าไปช่วยแก้ปัญหาบริเวณชั้นหนังกำพร้าอย่างตรงจุด

ชั้นผิวหนังกำหร้าประกอบด้วย 5 ชั้นย่อย ดังนี้

1.Basal layer อยู่ชั้นในสุด ทำหน้าที่ผลิตเซลล์ Keratinocyte ซึ่งเป็นจุดกำเนิดของเม็ดสีผิว รูขุมขน และกรดไขมัน
2.Prickle layer เป็นชั้นที่ผลิตโปรตีนประเภท เคราติน (Keratin) ได้แก่ เส้นผม(รากผม) และขน
3.Granular layer เราสามารถพบกระบวนการผลัดเซลล์ผิวได้ที่ชั้นนี้เช่นกัน เป็นชั้นผิวที่พบการเกิดเส้นผมหรือขน และไขมันบริเวณรูขุมขน
4.Clear layer เป็นชั้นผิวที่เซลล์เรียงตัวอย่างเป็นระเบียบหนาแน่น บ่งบอกถึงสุขภาพที่ดี ผิวพรรณเรียบเนียน
5.Horny layer หรือที่เราเรียกว่า ชั้นขี้ไคล (Desquamation) ซึ่งเกิดการผลัดเซลล์ผิวเก่า เพื่อให้เกิดผิวใหม่ที่มีความชุ่มชื้น ซึ่งชั้นผิวนี้เองที่เราควรให้ความสำคัญ เนื่องจากอยู่ชั้นนอกสุดที่ต้องเผชิญกับมลภาวะ และสิ่งแวดล้อมภายนอกมากมาย

ชั้นผิว Horny layer สามารถฟื้นฟูได้ด้วยโดยเลือกใช้ครีมหรือเซรั่มที่มีส่วนประกอบของน้ำ และไลปิด (Hydrolipid film) เพื่อช่วยให้ผิวอ่อนนุ่ม ชะลอริ้วรอยที่จะเกิดขึ้นก่อนวัยอันควร และปกป้องผิวจากแบคทีเรียที่เป็นต้นเหตุของปัญหาสิว

ไลปิด หรือไขมันในผิวประกอบด้วยสาร 3 กลุ่มหลักคือ เซราไมด์(Ceramide), กรดไขมัน และ คอเรสเตอรอล(Cholesterol) โดยเฉพาะอย่างยิ่งเซราไมด์ ซึ่งเป็นสารหลักในการเสริมความแข็งแรงให้ผิว ได้แก่ สารจำพวกไขมัน ที่มีชื่อว่า สฟิงโกไลปิด (Sphingolipid) ซึ่งเป็นองค์ประกอบที่สำคัญของเยื่อหุ้มเซลล์ (Cell Membrane) ทำหน้าที่อุ้มน้ำ ลดการสูญเสียน้ำ อีกทั้งเป็นตัวเชื่อมเคราตินให้เกิดการเรียงตัวกันอย่างเป็นระเบียบ ช่วยให้ผิวแข็งแรง ช่วยยับยั้งการเกิดฝ้า กระ จุดด่างดำ ทั้งนี้ปริมาณของเซราไมด์ใต้ผิวจะแปรผันตรงกับช่วงอายุ โดยแรกเกิดถึง 30 ปี ผิวจะมีเซราไมด์ 100% และเริ่มลดลงเหลือ 60% เมื่อมีอายุ 40 ปี และยังคงลดลงเรื่อยๆ จนถึงระดับ 30++% เราทุกคนจึงสามารถพบเจอกับปัญหาผิวที่มีการขาดเซราไมด์ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีที่มีการขาดอย่างรุนแรงนั้นจะแสดงอาการโรคผิวหนังอโทปิก (Atopic dermatitis) ได้แก่ โรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง (atopic dermatitis) โรคผื่นแพ้จากการสัมผัส (contact dermatitis) และโรคสะเก็ดเงิน (psoriasis) เป็นต้น ทั้งนี้ เราสามารถพบอาการเบื้องต้นจากการที่ผิวขาดเซราไมด์ คือ ผิวแห้งแตกง่าย เกิดริ้วรอยตีนกา รอยเหี่ยวย่นได้ง่าย อีกทั้งยังเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดจุดด่างดำ ฝ้า กระ บนผิวขึ้นอีกด้วย

หน้าที่ที่สำคัญของเซราไมด์

– เป็นตัวเชื่อมให้เคราตินของผิวชั้นบนเรียงตัวกันอย่างมีระเบียบ
– ช่วยปกป้องให้ผิวแข็งแรง และป้องกันเชื้อโรคต่างๆเข้าสู่ร่างกายผ่านทางผิวหนัง
– ลดการสูญเสียน้ำของผิว ช่วยให้ผิวสามารถเก็บกักความชุ่มชื้นได้ดี ทำให้ผิวชุ่มชื้นเปล่งปลั่ง
– ลดการสังเคราะห์เม็ดสีผิว ช่วยป้องกันการเกิด ฝ้า กระ และ จุดด่างดำ ทำให้ผิวกระจ่างใสขึ้น

ประโยชน์ของเซราไมด์

นอกจากนี้ประโยชน์ของเซราไมด์นั้นยังทำให้ผิวหนังมีความยืดหยุ่น ชุ่มชื้น ช่วยยับยั้งการเกิดฝ้า กระ จุดด่างดำ ผิวพรรณดูกระจ่างใสขึ้น โดยธรรมชาติเซราไมด์จะค่อยๆมีปริมาณลดน้อยลง เมื่อมีอายุมากขึ้น จึงเป็นผลให้สภาพผิวมีการเปลี่ยนแปลง นอกจากนี้ยังมีอีกหลายปัจจัยที่ส่งผลให้ผิวขาดเซราไมด์ คือ พันธุกรรมมีผิวแห้งแต่กำเนิด การสัมผัสกับแสงแดด รวมถึงความเครียดก็เป็นตัวกระตุ้นให้เซลล์ผิวสร้างเซราไมด์ลดลง หากผิวเกิดการขาดเซราไมด์ จะส่งผลให้ผิวแห้งแตกง่าย เกิดริ้วรอยตีนกา รอยเหี่ยวย่นได้ง่าย อีกทั้งยังเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดจุดด่างดำ ฝ้า กระ บนผิวขึ้นอีกด้วย

การขาดเซราไมด์ยังส่งผลต่อโรคผิวหนังได้อีกด้วย

นอกจากข้อเสียของการขาดเซราไมด์ดังกล่าวเบื้องต้นแล้วนั้น ยังมีงานวิจัยรับรองว่า การลดปริมาณลงของเซราไมด์นั้น จะเป็นสาเหตุหลักที่ส่งผลให้เกิดโรคผิวหนังต่างๆ ดังนั้นเราจึงควรที่จะทำการป้องกันเพื่อไม่ให้ผิวเสื่อมสภาพ จึงควรเสริมเซราไมด์ให้เพียงพอ ทำให้ผิวของเรานั้นสามารถคงสภาพผิวให้ชุ่มชื้นได้อยู่เสมอ

อาการผิวแห้งเนื่องจากการขาด เซราไมด์ สามารถเกิดขึ้นได้จาก

– พันธุกรรม ซึ่งบางคนอาจจะเป็นคนที่มีผิวแห้งตั้งแต่กำเนิด
– อายุ เนื่องจากการที่อายุมากขึ้นผิวก็จะสามารถทำการผลิตเซราไมด์ได้น้อยลงเช่นกัน
– ปัจจัยภายนอกต่างๆ เช่น แสงแดด ความเครียด ก็เป็นตัวกระตุ้นที่ส่งผลให้เซลล์ผิวทำงานผิดปกติ และเป็นสาเหตุให้การสร้างเซราไมด์ลดลง
– ผู้ป่วยโรคผิวหนังบางชนิด เช่น โรคภูมิแพ้ผิวหนัง (Atopic Dermatitis) โรคผื่นแพ้จากการสัมผัส (Contact Dermatitis) หรือ โรคสะเก็ดเงิน (Psoriasis)

ผลเสียของการขาดเซราไมด์

– ทำให้การเรียงตัวของเคราตินไม่เป็นระเบียบ ผิวสูญเสียความชุ่มชื้นได้ง่าย
– ทำให้ผิวอ่อนแอ เกิดอาการแพ้ และติดเชื้อโรคต่างๆผ่านทางผิวหนังได้ง่าย
– ทำให้ผิวแห้งตึง เกิดการแตกลายบนชั้นผิว ผิวไม่สวยสดใส
– ทำให้ผิวเกิดปัญหาริ้วรอย ร่องลึก ได้ง่าย

มาเพิ่มปริมาณเซราไมด์ด้วยการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์

ในการที่จะเสริมเซราไมด์ให้เพียงพอนั้น สามารถทำได้หลากหลายวิธี วิธีที่ง่ายที่สุดคือ ด้วยวิธีการรับประทานอาหาร เนื่องจากเซราไมด์สามารถพบได้ทั่วไปในอาหารหลายชนิด และมักจะมีอยู่ในปริมาณมากในอาหารจำพวกข้าว อย่างไรก็ตามหากรับประทานข้าวในปริมาณที่มากเกินไป อาจจะส่งผลให้ร่างกายได้รับปริมาณที่มากเกินความจำเป็นและจะส่งผลเสียต่อสุขภาพ ดังนั้นการเลือกรับประทานอาหารเสริมเซราไมด์ ก็อาจจะเป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการเสริมเซราไมด์ให้กับผิว สำหรับอาหารเสริมเซราไมด์นั้น ได้มาจากกระบวนการสกัด ซึ่งสารสกัดเซราไมด์นั้น ส่วนมากจะสกัดมาจากพืชผักผลไม้ มีจำหน่ายทั่วไปตามท้องตลาด โดยมากมักจะนำมาจำหน่ายร่วมกับสูตรอาหารเสริมบำรุงผิวประเภทอื่นๆ ได้แก่ วิตามินซี วิตามินอี กรดไฮยาลูโรนิค (Hyaluronic acid) คอลลาเจน อีลาสติน เป็นต้น นอกจากผลิตภัณฑ์เซราไมด์ที่อยู่ในรูปของอาหารเสริมแล้ว ยังมีผลิตภัณฑ์เซราไมด์อื่นๆ อาทิเช่น เซราไมด์เซรั่ม หรืออาจจะอยู่ในรูปของครีมที่มีส่วนผสมของเซราไมด์ เป็นต้น

เราทุกคนจึงควรเสริมเซราไมด์ให้เพียงพอ ซึ่งสามารถทำได้ง่ายๆด้วยการรับประทานอาหาร เนื่องจากเซราไมด์สามารถพบได้มากใน เส้นใยไฟเบอร์ของผักผลไม้ หัวบุก นม และข้าวที่ยังไม่ผ่านการขัดสี

จากข้อดีของเซราไมด์ที่กล่าวมานั้น เซราไมด์อาจถือได้ว่าเป็นสารชนิดหนึ่งที่ช่วยให้ความชุ่มชื้นแก่ผิว อีกทั้งยังช่วยให้ผิวดูกระจางใส ลดเลือนริ้วรอย แต่อย่างไรก็ตามการเสริมไซราไมด์บำรุงผิวนั้น จะมีประสิทธิภาพก็ต่อเมื่อมีการรับประทานอาหารที่เพียงพอครบ 5 หมู่ ถูกสุขลักษณะ หมั่นออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ พักผ่อนเพียงพอ รวมถึงหลีกเลี่ยงมลภาวะต่างๆ ที่เสี่ยงต่อการทำให้ผิวหนังแห้งเสีย เพื่อที่จะทำให้ผิวมีสุขภาพที่ดี และดูอ่อนเยาว์อยู่เสมอ

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *