ความกังวลใจกับหน้าแดง หรือรอยแดงบนผิวหน้า

หากใครมีอาการหน้าแดงจากการโดนแสงแดดเป็นเวลานานจนเกิดอาการผิวลอก ร้อน บวมแดง อาการลักษณะนี้สามารถบรรเทาอาการแรกเริ่มได้ด้วยการปรับอุณหภูมิบนผิวหนังด้วยผ้าชุบน้ำเย็นประคบบริเวณที่มีอาการแสบร้อน ล้างหน้าด้วยน้ำสะอาดเท่านั้น หลังจากอาการบวมแดงหายไปเราสามารถใช้ครีมบำรุงที่มีส่วนผสมของมอยส์เจอไรเซอร์ (moisturizer) เป็นหลัก ทาครีมกันแดด และหลีกเลี่ยงแสงแดดจัด เพื่อฟื้นฟูเซลล์ผิวให้กลับมาเต่ง และชุ่มชื้นอีกครั้ง อย่างไรก็ตามสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้คืออาการใบหน้าหมองคล้ำ หรือการเกิดรอยแดงบนผิวหน้าจากการเผาไหม้ที่เกิดขึ้น นำมาซึ่งอาการ กระ ฝ้า ในภายหลัง ซึ่งอาจต้องใช้ระยะเวลาในการฟื้นฟูผิวหน้านานนับเดือนเลยทีเดียว

การอยู่กลางแดดเป็นเวลานานอาจจะทำให้ผิวเกิดอาการแดง และเป็นสาเหตุที่สำคัญให้เกิด ฝ้า กระ และ จุดด่างดำ ได้ง่าย ดังนั้นเราจึงควรที่จะหลีกเลี่ยงการสัมผัสแดงแดดเป็นเวลานานๆ หรือเลือกใช้ผลิตภัณฑ์กันแดดมาเป็นตัวช่วย

สาเหตุที่ส่งผลทำให้ผิวของเราเกิดรอยแดงบนผิวหน้าได้ง่าย

นอกจากอาการหน้าแดงจากการโดนแสงแดดเผาแล้วนั้น เรายังสามารถพบอาการหน้าแดงจนสามารถเห็นหลอดเลือดฝอยที่ขยายอยู่บริเวณผิวหน้าใต้รอยแดงนั้น รอยแดงนี้จะแสดงอาการแดงเข้มจนสามารถเห็นหลอดเลือดชัดขึ้นเรื่อยๆ ผิวของหน้าจะมีความไวต่อแสงส่งผลให้หน้าแดงง่าย บางรายมีอาการสิวอักเสบร่วมด้วย ลักษณะรอยแดงนี้จะเกิดขึ้นจากผลข้างเคียงของการกินหรือทา ผลิตภัณฑ์ประเภทครีมหรือยา ที่มีส่วนผสมของคอร์ติโต สเตียรอยด์ (Cortico steroids) อย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน ทั้งนี้หากรอยแดงบนผิวหน้าเป็นรอยแดงที่มีลักษณะของผื่นแดงอักเสบที่มีขอบเขตชัดเจน โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณปีกจมูกมักเกิดขึ้นร่วมกับอาการคัน บวมแดง ผิวหนังลอกเป็นขุย หรือเป็นตุ่มหนองร่วมด้วย จะมีสาเหตุหลักมาจากการใช้เครื่องสำอางที่มีส่วนประกอบของสารที่มีฤทธิ์ลอกผิวอย่างต่อเนื่องประมาณ 2-3 เดือน หรือบางรายอาจเกิดอาการแพ้อย่างเฉียบพลัน สารดังกล่าวเช่น ไอโสเตรติโนอิน (Isotretinoin), เรติโนอิก แอซิด (Retinoic Acid) หรือ กรดผลไม้ (AHA) เป็นต้น

วิธีการดูแลรักษารอยแดงที่เกิดขึ้นควรทำอย่างไร?

จากที่กล่าวมานั้นรอยแดงเหล่านี้สามารถแก้ไขได้โดยการหยุดใช้ยา เครื่องสำอางที่มีสารเสตียรอยด์ (Steroids) หรือครีมที่มีสารก่อภูมิแพ้อื่นๆ เราสามารถรู้ได้ว่าของเหล่านั้นเป็นสารก่อภูมิแพ้หรือไม่โดยการนำสารที่สงสัยมาทาทิ้งไว้บริเวณผิวหนังและสังเกตอาการว่าเกิดผื่นหรือไม่ เราเรียกวิธีการนี้ว่าการทำแพ็ทเทสต์ (Patch test) ซึ่งต้องทำโดยแพทย์ผิวหนังผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น หลังจากทราบสาเหตุควรทำการรักษาอย่างต่อเนื่องเพื่อให้อาการอักเสบของผิวหนังหายไป เมื่อผิวเข้าสู่สภาวะปกติหายจากอาการสักเสบ หรือบวมแดงแล้วนั้น แต่ยังคงไว้ซึ่งรอยแดงเป็นจุดๆ ไม่น่ามอง หรือใบหน้าหมองคล้ำอันเกิดจากผิวถูกทำลายด้วยความร้อน เราสามารถขจัดปัญหารอยแดงบนผิวหน้าให้ดีขึ้นได้ด้วย ไอออนโตโฟเรสิต (Iontophoresis) โดยหลักการทำงานของเครื่องดังกล่าวจะนำกระแสไฟฟ้าในปริมาณที่เหมาะสมลงสู่ผิวหน้า เพื่อเปิดรูขุมขนให้กว้างในระดับที่สามารถผลักวิตามิน หรือตัวยาอื่นๆลงไปในชั้นเซลล์ผิว เพิ่มการไหลเวียนของโลหิต กระตุ้นเซลล์ผิวหนังที่เสื่อมกลับมาใช้งานได้อีกครั้ง ผิวหน้าดูกระจ่างใสขึ้น และริ้วรอยจางลง การใช้ไอออนโตโฟเรสิตจึงเป็นอีกวิธีการหนึ่งที่เห็นผลลัพธ์ในการลดรอยแดง และแก้ไขปัญหาใบหน้าหมองคล้ำได้อีกวิธีหนึ่ง ในระหว่างการรักษาด้วยไอออนโตโฟเรสิตควรงดเว้นการสคับผิวหน้า ควรดื่มน้ำมากๆ ทานอาหารที่มีประโยชน์ หลีกเลี่ยงของมันและทอดอันจะส่งผลให้ผิวหน้าผลิตน้ำมันส่วนเกินเพิ่มมากขึ้น และกระตุ้นอาการอักเสบของผิวขึ้นมาอีกครั้ง

เครื่องสำอาางที่มีส่วนผสมของสารเสตียรอยด์ (Steroids) เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดรอยแดงบนผิว ดังนั้นเราจึงควรระมัดระวังในการเลือกซื้อเครื่องสำอาง

อย่างไรก็ตาม การใช้ไอออนโตโฟเรสิตมีข้อจำกัดในการรักษาความหมองคล้ำหรือรอยแดงบนผิวหน้าอยู่บ้าง เนื่องจากผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับตัวยาหรือวิตามินที่นำมาใช้ร่วมด้วย อย่างไรก็ตามด้วยวิวัฒนาการทางด้านเครื่องมือการแพทย์ทำให้การรักษาเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้น เราสามารถใช้ประโยชน์จากความเข้มสูงของแสง และความยาวคลื่นในช่วง 515-1200 nm ที่เรียกว่า ไอพีแอล (Intense Pulsed Light: IPL) โดยส่งผ่านลำแสงเฉพาะช่วงคลื่นที่ต้องการและเปลี่ยนเป็นพลังงานความร้อนไปยังผิวหนัง การรักษาด้วยวิธีนี้ทำให้เราสามารถขจัดปัญหารอยแดงที่เห็นหลอดเลือดฝอยชัดเจนได้เห็นผลเร็ว และตรงจุด ทั้งยังสามารถกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนที่เป็นต้นเหตุของปัญหาริ้วรอย หรือรักษารอยคล้ำที่เกิดจากเม็ดสีเมลานีนในบริเวณชั้นหนังกำพร้าที่มีมากกว่าปกติ เช่น กระแดด ฝ้า ได้ดีอีกด้วย

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *